ประวัตินักเตะ ทีมชาติสเปน ระดับคุณภาพ | ทีมชาติสเปน ระดับคุณภาพ คัดสรร ทีเด็ด วิเคราะห์บอล ข้อมูล ดู

Web Name: ประวัตินักเตะ ทีมชาติสเปน ระดับคุณภาพ | ทีมชาติสเปน ระดับคุณภาพ คัดสรร ทีเด็ด วิเคราะห์บอล ข้อมูล ดู

WebSite: http://www.reciclajeplasticos.biz

ID:108146

Keywords:

,

Description:

Xavi Hernandez เป็นชายชาวสเปนที่เกิดที่เมืองเตราสซ่าในแคว้นกาตาลุนญ่าของประเทศสเปน ซึ่งเขาถือว่าเป็นสายเลือด และสาวกของสโมสร บาร์เซโลน่า มาตั้งแต่ต้น เพราะทีมแรกที่เขาเข้าไปอยู่ในระบบเยาวชนก็คือบาร์เซโลน่านั่นเอง โดยเขาเริ่มเข้าสู่ศูนย์ฝึกฟุตบอลลา มาเซียอันเลื่องชื่อในปี 1991 ซึ่งตอนนั้นเขาอายุได้เพียงแค่ 11 ขวบเท่านั้นหลังจากนั้นเขาก็ต้องเดินตามรอยเหมือนกับนักเตะรุ่นพี่คนอื่นๆ ของสโมสร คือการต้องเล่นให้กับทีมสำรองของบาร์เซโลน่าก่อนถึงจะมีโอกาสได้ก้าวขึ้นไปเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ โดยชาบีต้องเล่นให้กับทีมเบอยู่ถึง 3 ปีกว่าที่จะได้ก้าวขึ้นไปอยู่กับทีมชุดใหญ่แบบเต็มตัวในปี 2000 แต่ในระหว่างนั้นเขาก็ได้โอกาสขึ้นไปเล่นให้กับทีมชุดใหญ่อยู่เป็นระยะ ซึ่งแค่เพียงฤดูกาลแรกที่เขาก้าวขึ้นไปเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ในฤดูกาล 1998-1999 ชาบีก็คว้าแชมป์ลา ลีก้าสเปนมาครองเป็นครั้งแรกได้สำเร็จในฤดูกาลนั้น ในยุคที่ทีม “เจ้าบุญทุ่ม” มีหลุยส์ ฟาน กัล ยอดกุนซือชาวดัตช์คุมทีมอยู่นั่นเอง ซึ่งเขาเป็นคนดันชาบี เอร์นานเดสให้ก้าวขึ้นมาอยู่ในทีมชุดใหญ่ของบาร์เซโลน่าด้วยโดยตอนนั้นชาบีต้องเล่นเป็นกองกลางร่วมกับเป็ป กวาดิโอล่า กองกลางกัปตันทีมที่ซึ่งกลายมาเป็นยอดกุนซือของบาร์เซโลน่า และยอดกุนซือในยุคปัจจุบันนั่นเองและรวมไปถึงหลุยส์ เอ็นริเก้ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็น 1 ใน 3 กองกลางของบาร์เซโลน่าในยุคนั้นด้วย ในช่วงแรกของอาชีพค้าแข้งนั้นชาบี เอร์นานเดสยังไม่ได้เป็นนักเตะที่โด่งดัง และได้รับการยอมรับอย่างทุกวันนี้ เพราะด้วยสไตล์การเล่นของเขานั้นไม่ได้มีความหวือหวาแต่อย่างใด แต่เขาเป็นนักเตะที่เล่นง่าย จ่ายบอลแม่น ซึ่งในตอนที่เขาก้าวขึ้นมาใหม่ๆ นั้นยังไม่ค่อยมีการเผยแพร่สถิติการส่งบอลในแต่ละนัดเหมือนอย่างทุกวันนี้ ทำให้ชาบีไม่ได้เป็นนักเตะที่โดดเด่นของบาร์เซโลน่านตอนนั้น แต่เขาเริ่มมาเป็นที่ยอมรับ และโด่งดังเป็นอย่างยิ่งในยุคที่ บาร์เซโลน่า มี เป็ป กวาดิโอล่า เข้ามาเป็นกุนซือในปี 2008 ซึ่งกุนซือรายนี้สามารถยกระดับ barcelona ห้กลายเป็นยอดทีมในตอนนั้นได้สำเร็จ ซึ่งพวกเขากวาดแชมป์ได้อย่างมากมายในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย แชมป์ลา ลีก้าอีก 3 สมัยจาก 4 ปีที่โจเซ็ป กวาดิโอล่าคุมทีม ซึ่งตอนนั้นกองกลางของบาร์เซโลน่าถือว่าเล่นกันได้อย่างลงตัวที่สุดในปฐพี โดยมีซึ่งทำให้บาร์เซโลน่าไร้เทียมทานเป็นอย่างยิ่งในตอนนั้น เพราะพวกเขาได้เปรียบกองกลางคู่แข่งทุกทีมที่ดวลกันในเวลานั้นด้วย เมื่อยามที่ทั้ง 3 คนลงสนามพร้อมกัน และพวกเขาก็มีตัวสำรองอย่างยาย่า ตูเร่ในตอนนั้นด้วย ที่เล่นทดแทนพวกเขาได้อย่างดีในทุกบทบาทนอกจากเขาจะพาบาร์เซโลน่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามแล้ว ชาบี เอร์นานเดส ถือว่าเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้ ทีมชาติสเปน ก้าวขึ้นไปครองความยิ่งใหญ่ในระดับชาติในช่วงปี 2008-2012 อีกด้วย เพราะว่าสเปนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในตอนนั้น ด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือว่ายูโรได้ถึง 2 สมัยติดต่อกัน คือในศึกยูโร 2008 และยูโร 2012 และนอกจากนั้นสเปนยังกลายเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติได้สำเร็จอีกด้วยในปี 2010 ซึ่งเขาถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมชาติสเปนครองความยิ่งใหญ่ในตอนนั้นเลยก็ว่าได้ เพราะว่าเขาเล่นเป็นห้องเครื่องของทีมชาติสเปน เฉกเช่นเดียวกับที่เล่นให้กับบาร์เซโลน่านั่นเอง ก่อนที่เขาจะอำลาทีมชาติสเปนในปี 2014 หลังจากที่ล้มเหลวในศึกฟุตบอลโลกที่บราซิล ที่พวกเขาต้องตกรอบแรกนทัวร์นาเม้นต์นั้นชาบีเล่นอยู่กับบาร์เซโลน่าจนถึงปี 2015 ก็ออกมาหาเงินในตะวันออกกลาง โดยเขาย้ายมาค้าแข้งกับทีมอัล ซาดด์ ทีมในประเทศกาต้าร์ตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งเขาเล่นอยู่กับที่นี่ 4 ปีแลยทีเดียว ก่อนที่จะประกาศแขวนสตั๊ดไปเมื่อจบฤดูกาล 2019เจ้าตัวก็เริ่มต้นอาชีพการเป็นกุนซือกับทีมนี้ทันทีในช่วงกลางปี 2019 ที่ผ่านมากับทีมที่เขาเล่นเป็นทีมสุดท้ายนั่นเอง ซึ่งชาบีได้ไปวิเคราะห์ฟุตบอลไว้ในศึกเอเชี่ยนส์ คัพ 2019 ซึ่งเขาให้ทรรศนะว่าทีมชาติกาต้าร์จะกลายเป็นแชมป์รายการนี้ก่อนเริ่มทัวร์นาเม้นต์ ซึ่งตอนแรกก็ไม่มีใครเชื่อ และคิดว่าชาบีคงจะอวยประเทศที่เขาทำงานอยู่เท่านั้น แต่สุดท้ายกาต้าร์กลับกลายเป็นแชมป์เอเชี่ยนส์ คัพจริง ทำให้ชาบี เอร์นานเดสได้รับคำชมเป็นอย่างยิ่งกับการวิจารณ์ และวิเคราะห์ของเขา และการคุมทีมในลีกกาต้าร์ของชาบีก็ทำได้ยอดเยี่ยมด้วย ทำให้เขาถูกมองว่ามีโอกาสที่จะกลับมาคุมทีมบาร์เซโลน่าในอนาคตอันใกล้นี้ด้วยซ้ำ Raul Gonzalez เป็นนักเตะระดับตำนานของสโมสรเรอัล มาดริด ยอดทีมของวงการฟุตบอลสเปน และของยุโรป โดยเขาเกิดที่กรุงมาดริด ในเมืองหลวงของประเทศสเปนเมื่อปี 1977 ซึ่งเขาเลือกเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลมาตั้งแต่ 10 ขวบเมื่อเขาเริ่มเป็นเด็กเยาวชนของทีมซาน คริสโตบาล ก่อนที่ทีม แอตเลติโก มาดริด ทีมในเมืองหลวงจะเห็นแวว และดึงตัวไปอยู่ในอคาเดมี่ของสโมสรในปี 1990  ซึ่งก็อยู่ฝึกกับทีม “ตราหมี” เพียงแค่ 2 ปีเท่านั้นก็ย้ายมาอยู่กับทีมเยาวชนของ เรอัล มาดริด ในปี 1992ตอนนั้นแววของราอูล กอนซานเลซในตำแหน่งกองหน้าเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ต้องเริ่มต้นเล่นให้กับทีมเรอัล มาดริดชุดซีก่อน แต่เล่นไปเพียงแค่ 7 นัดเท่านั้นในฤดูกาล 1994-1995 เขาก็ถูกดันขึ้นไปอยู่ชุดเบทันที เพราะ 7 นัดนั้นเขาทำไปได้ถึง 16 ประตู ทำให้ได้เลื่อนยศทันที และเขาก็เล่นให้ทีมเบ หรือทีมสำรองเพียงแค่นัดเดียวเท่านั้นก็ถูกดันขึ้นชุดใหญ่ของทีม “ราชันย์ชุดขาว” ทันทีซึ่งในตอนนั้นพวกเขามีฮอร์เก้ วัลดาโน่ อดีตนักเตะทีมชาติอาร์เจนติน่าและของสโมสรเป็นกุนซืออยู่นั่นเอง ซึ่งราอูลก็ได้โอกาสลงสนามในทีมชุดใหญ่ทันที ซึ่งทำให้เขาเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงสนามให้กับเรอัล มาดริดในเวลานั้น ด้วยวัย 17 ปีกับอีก 124 วัน ซึ่งราอูลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมได้ในทันทีหลังจากนั้นเป็นต้นมาราอูล กอนซาเลซก็กลายเป็นกองหน้าตัวหลัก และตัวสำคัญของเรอัล มาดริดมาโดยตลอด ไม่ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงกุนซือกี่คนก็ตาม แต่ราอูลก็ยังยืดตำแหน่งตัวจริงของทีมไว้ได้ตลอด ซึ่งเขาช่วยทีมทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ จนทำให้ทีมคว้าแชมป์ลา ลีก้าสเปนมาครองได้ถึง 6 สมัย นอกจากนั้นยังคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกกับทีมนี้ได้อีก 3 ครั้งอีกด้วย ซึ่งเขาถือว่าเป็นยอดกองหน้าแห่งยุคนั้นเลยก็ว่าได้ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นนักเตะที่มีความเร็วเท่าไหร่นัก แต่เขาถูกยกย่องให้เป็นกองหน้าที่มีเซนต์ในการทำประตูที่ดีมากคนหนึ่ง และความคมในการยิงเท้าซ้ายของเขาก็ถือว่าเฉียบขาด และสามารถทำประตูได้ทุกรูปแบบ ทั้งการเข้าชาร์ตในกรอบเขตโทษ หรือว่าจะเป็นลูกกลางอากาศก็ทำได้ดีเช่นกัน และทำให้เขาคว้ารางวัลปิชิชี่ หรือว่ารางวัลดาวซัลโวของศึกลา ลีก้าสเปนมาครองได้ถึง 2 ครั้งในปี 1999 และ 2001 ซึ่งเขาถือว่าเป็นตำนานหมายเลข 7 คนหนึ่งของเรอัล มาดริดเลยทีเดียว ก่อนที่จะมาถูกคริสเตียโน่ โรนัลโด้ที่มารับหมายเลข 7 ต่อจากเขาทำลายสถิติต่างๆ ลงไปได้สำเร็จตลอด 16 ฤดูกาลของราอูล กอนซาเลซในถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาเบวเขาถือว่าเป็นกำลังสำคัญของเรอัล มาดริดมาโดยตลอด และนักเตะระดับเขาควรจะได้แขวนสตั๊ดกับทีมนี้ด้วยซ้ำ แต่ด้วยนโยบายของสโมสรเรอัล มาดริดในยุคที่มีฟลอเรนติโน่ เปเรซเป็นประธานสโมสรนั้น คือพวกเจะไม่เก็บนักเตะไว้จนแขวนสตั๊ด ไม่ว่านักเตะคนนั้นจะทำผลงานได้ดีเพียงไหนให้กับสโมสรก็ตาม ทำให้สุดท้ายราอูลก็ต้องย้ายออกจากทีมไปในปี 2010 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าทีเดียว เพราะตอนนั้นเจ้าตัวก็พึ่งจะอายุ 33 ปีเท่านั้น แต่ก็ต้องกลายเป็นตัวสำรองของคาริม เบนเซม่า และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ไปแล้วในปีสุดท้ายของเขากับสโมสรแห่งนี้ ซึ่งเขาสร้างสถิติเอาไว้มากมายกับเรอัล มาดริด แต่สุดท้ายก็มาถูกคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยอดดาวเตะชาวโปรตุกีสที่มาสวมหมายเลข 7 ต่อจากเขาทำลายสถิติที่เขาเคยสร้างไว้เกือบหมด ไม่ว่าจะเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร ที่โรนัลโด้ทำลายลงอย่างราบคาบ และถล่มทลาย แต่เขายังครองสถิติเป็นนักเตะที่ลงสนามให้กับทีม “ราชันย์ชุดขาว” มากที่สุดมาจนถึงตอนนี้ ด้วยจำนวน 741 นัดหลังจากที่หมดสัญญากับเรอัล มาดริดแล้ว ราอูลก็ย้ายไปค้าแข้งในบุนเดสลีก้ากับทีมชาลเก้ 04 ในเยอรมัน ซึ่งเขาก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตลอด 2 ฤดูกาลในเมืองเบียร์ และหลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปหาเงินในตะวันออกกลางกับทีมอัล ซาดด์ในประเทศกาต้าร์เป็นเวลา 2 ปี ก่อนที่เขาจะไปจบอาชีพการค้าแข้งกับทีมนิวยอร์ค คอสมอส ทีมในเมเจอร์ ลีกของประเทศสหรัฐอเมริกานั่นเองซึ่งหลังจากที่เขาเลิกเล่นแล้ว ก็เริ่มหันมาเรียนการเป็นโค๊ชในที่สุด โดยเขาได้เริ่มงานโค๊ชกับการคุมีมเรอัล มาดริดในชุดยู 15 เมื่อเดือนสิงหาคม 2018 ก่อนที่เขาจะได้เลื่อนขึ้นมาคุมทีมเรอัล มาดริด กาสติญ่า หรือว่าทีมสำรองของทีม “ราชันย์ชุดขาว” ในช่วงเดือนมิถุนายน 2019 นั่นเอง ซึ่งหลังจากนี้เขาจะได้ก้าวขึ้นไปคุมทีมอาชีพแบบเต็มตัวอย่างแน่นอน แต่ในสมัยเป็นนักเตะของทีมชาติสเปนนั้น เขาถือว่าเป็นนักเตะที่อาภัพ และน่าเสียดายมากทีเดียว เพราะเขาหลุดจากโผทีมชาติสเปนไปตอนปี 2006 และหลังจากนั้นก็ไม่ถูกเรียกกลับมาติดทีมชาติอีกเลย ซึ่งเป็นช่วงที่ทีมชาติสเปนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่พอดี Sergio Ramos ดาวเตะจากราชันชุดขาว ถือว่าเป็นกองหลังที่ทำประตูได้เยอะเป็นอย่างมาก เพราะว่าในวงการฟุตบอลนั้นการที่จะทำได้ถึง 100 ประตูนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ซึ่งกองหน้าบางคนยังทำประตูตลอดอาชีพการค้าแข้งไม่ถึง 100 ประตูด้วยซ้ำ และหลายคนจะทำได้ถึงก็เป็นการทำในลีกระดับรอง ไม่ใช่ลีกระดับท็อปของวงการฟุตบอลโลกแต่อย่างใด เช่นเดียวกับตำแหน่งกองกลาง ที่ก็มีน้อยคนนักที่จะสามารถทำประตูได้ถึง 100 ลูกตลอดอาชีพการค้าแข้ง แม้ว่าจะเป็นยอดดาวเตะของโลกยังทำได้ไม่ถึงด้วยซ้ำ ซึ่งยังไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งกองหลังเลยด้วย เพราะบางคนตลอดอาชีพค้าแข้งไม่เคยทำประตูได้เลยก็มีบางคนก็มีแต่สถิติการทำเข้าประตูตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีกองหลังบางคนที่ทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ เพราะว่ามีความสามารถในการยิง หรือการโหม่งที่ดี ทำให้บางคนอาจจะได้รับมอบหมายให้เป็นคนสังหารจุดโทษ หรือว่ายิงฟรีคิกในตำแหน่งต่างๆ ทำให้ยอดการทำประตูก็สูงขึ้นตามแต่ละคน ซึ่งยุคก่อนหน้านี้นั้นมีหลายคนทีเดียวที่เป็นกองหลังที่ทำประตูได้เยอะ ไม่ว่าจะเป็นโรนัลด์ คูมันน์ แบ็คซ้ายทีมชาติฮอลแลนด์ของบาร์เซโลน่า ดาเนี่ยล พาสซาเรลล่า อดีตกองหลังระดับตำนานของทีมชาติอาร์เจนติน่า เฟร์นานโด เอียร์โร่ ปราการหลังของเรอัล มาดริด และทีมชาติสเปน โลร็องต์ บล็องค์ กองหลังทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลกเมื่อปี 1998 โรแบร์โต้ คาร์ลอส แบ็คซ้ายทีมชาติบราซิลแม้แต่ Fernando Torres ก็ตามซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกองหลังที่สามารถทำได้เกิน 100 ประตูมาแล้วทั้งนั้น และบางคนทำได้เกิน 200 ประตูด้วยซ้ำตลอดอาชีพค้าแข้ง อย่างเช่นโรนัลด์ คูมันน์เป็นต้นแต่หลังจากนั้นมากองหลังที่ทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำก็เริ่มหายไปจากวงการฟุตบอลสมัยใหม่ แต่ว่าก็มีคนหนึ่งที่ก้าวขึ้นมาเป็นยอดกองหลังที่ทำประตูได้อย่างมากมายในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งก็คือ เซร์คิโอ รามอส ยอดกองหลังทีมชาติสเปนของเรอัล มาดริดนั่นเองเซร์คิโอ รามอส เป็นปราการหลังจอมแกร่งทีมชาติสเปนที่เกิดที่เมืองเซบีญ่าในแคว้นอันดาลูเซียของประเทศสเปนเมื่อปี 1986 โดยเขาเริ่มเป็นเด็กเยาวชนของทีมเซบีญ่าตั้งแต่เยาว์วัย โดยเริ่มต้นเข้าสู่สโมสรเซบีญ่าตั้งแต่ที่เขาอายุเพียงแค่ 10 ขวบเท่านั้น และเจ้าตัวก็ฝึกฝนกับทีมนี้มาจนถึงอายุ 17 ปี ถึงจะมีโอกาสก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของเซบีญ่าในปี 2004 ซึ่งตอนแรกเขาต้องเล่นให้กับทีมสำรองก่อน 1 ปีด้วย ก่อนที่จะถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2004 ที่มีฆัวกิน กาปาร์รอสคุมทีมซึ่งเขาก้าวขึ้นมาชุดใหญ่ของทีมพร้อมกับเฆซุส นาบาส ปีกขวา และอันโตนิโอ ปวยร์ต้า อดีตกองกลางผู้ล่วงลับของเซบีญ่านั่นเองซึ่งช่วงนั้นถือว่าเป็นยุคทองของการปั้นดาวรุ่งของเซบีญ่าเลยก็ว่าได้ เพราะก่อนหน้านั้นพวกเขาก็ดันโฮเซ่ อันโตนิโอ เรเยส ตัวรุกดาวรุ่งก้าวขึ้นมาอยู่ในทีมชุดใหญ่ และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนขายให้กับอาร์เซน่อลในเวลาต่อมาด้วยในช่วงที่ก้าวขึ้นมาอยู่ในทีมชุดใหญ่ใหม่ๆ นั้น เซร์คิโอ รามอส ถือว่าเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์คนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะเขาเล่นได้ทั้งปราการหลังตัวกลาง แบ็คขวา และรวมไปถึงกองกลางตัวรับด้วย ซึ่งทีเด็ดในการทำประตูของเขานั้นคือการขึ้นไปเล่นลูกโหม่งจากลูกตั้งเตะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฟรีคิก หรือว่าลูกเตะมุมก็ตาม นอกจากนั้นเขายังรับหน้าที่สังหารจุดโทษในบางโอกาสอีกด้วย และอีกอย่างก็คือการยิงฟรีคิกของเขา ซึ่งก็ทำได้ดีทีเดียว ซึ่งว่ากันว่าหากเขาไม่ได้เป็นกองหลังของเรอัล มาดริดในยุคที่มีคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยอดดาวยิงชาวโปรตุกีสอยู่ในทีม เซร์คิโอ รามอสจะทำประตูได้มากกว่านี้หลายสิบลูกเลยทีเดียวเพราะตราบใดที่โรนัลโด้ยังอยู่ในสนามนั้น การสังหารจุดโทษ และฟรีคิกในจุดอันตรายนั้นก็เป็นของโรนัลโด้รับเหมาไปทั้งหมด ซึ่งหลังจากที่ดาวเตะโปรตุเกสย้ายออกจากทีมไป โอกาสของเซร์คิโอ รามอสก็กลับมาอีกครั้ง ซึ่งเขารับเหมาหน้าที่ในการยิงลูกจุดโทษให้กับทีม “ราชันย์ชุดขาว” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และยังรวมไปถึงลูกฟรีคิกบริเวณใกล้กรอบเขตโทษด้วยเซร์คิโอ รามอสนั้นทำประตูในการเล่นฟุตบอลอาชีพได้เกิน 100 ประตูเรียบร้อยแล้ว หากนับรวมนการเล่นให้กับทีมชาติ และกับสโมสร โดยในตอนที่เล่นให้กับเซบีญ่านั้นเขาทำไป 5 ประตู และกับเรอัล มาดริดนั้นเกือบ 100 ประตูแล้วในเวลานี้ และในนามทีมชาติสเปนนั้นเกิน 20 ประตูไปเรียบร้อยแล้วด้วยซึ่งเขาถือว่าเป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งกับทั้งสโมสร เรอัล มาดริด และกับทีมชาติสเปน ซึ่งเขาได้ทั้งแชมป์โลก และแชมป์ยูโรอีก 2 สมัยกับ ทีมชาติสเปน และนอกจากนั้นยังได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีกถึง 4 ครั้ง แม้ว่าเขาจะถูกมองว่าเป็นกองหลังที่มีการเล่นที่ค่อนข้างตุกติกก็ตาม แต่ถือว่าเป็นกองหลังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ Fernando José Torres Sanz หรือ Fernando Torres เป็นดาวเตะชาวสเปนที่เกิดที่เมืองฟูเอ็นลาบราด้าในกรุงมาดริดของประเทศสเปน ซึ่งเขาเกิดเมื่อปี 1984 ซึ่งเขาเลือกเส้นทางการค้าแข้งอย่างชัดเจนด้วยการเข้าเป็นเด็กเยาวชนของ สโมสรแอตเลติโก มาดริด ทีมรักของเขาในสมัยเป็นวัยเด็ก ซึ่งเริ่มแรกนั้นเขาเล่นเป็นตำแหน่งผู้รักษาประตูเสียด้วยซ้ำ แต่เริ่มเปลี่ยนมาเล่นเป็นกองหน้าหลังจากที่ติดใจตอนได้เล่นในตำแหน่งกองหน้าในเกมฟุตบอลในร่มซึ่งในตอนที่เขา 10 ขวบนั้นเขายังเป็นเด็กเยาวชนของทีมราโย่ แต่หลังจากที่เขาทำได้ถึง 55 ประตู ก็ทำให้เขาเป็น 1 ใน 3 นักเตะของเยาวชนชุดนั้นที่ได้เข้าทดสอบฝีเท้ากับแอตเลติโก มาดริด และสุดท้ายก็ไปถูกใจแมวมองของทีม “ตราหมี” รู้สึกว่านักเตะตัว ทีเด็ด คนนี้ปล่อยไว้ไม่ได้แล้วจนทำให้เจ้าตัวได้เข้าที่แอตเลติโก มาดริดในปี 1995 ซึ่งเขาก็เข้าสู่ระบบเยาวชนของทีมตั้งแต่นั้นมา และพัฒนาฝีเท้ามาเรื่อยๆจนในปี 2001 เขาก็ได้โอกาสก้าวขึ้นสู่ทีมชุใหญ่ของ แอตเลติโก มาดริดในวัย 17 ปี ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่แอตเลติโก มาดริดกำลังตักต่ำเลยทีเดียว เพราะพวกเขายังอยู่ในเซกุนด้าของประเทศสเปน แต่หลังจากที่ตอร์เรสก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักให้กับทีมในตอนนั้น เขาก็ช่วยให้แอตเลติโก มาดริดคว้าแชมป์เซกุนด้าในฤดูกาล 2001-2002 และก้าวขึ้นสู่ลา ลีก้าสเปนได้สำเร็จเฟร์นานโด ตอร์เรส ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของแอตเลติโก มาดริดอย่างรวดเร็ว ซึ่งเขาเป็นดาวซัลโวประจำฤดูกาลของทีมตั้งแต่อยู่ในวัย 18 ปีเท่านั้น และเป็นที่รักของแฟนบอลแอตเลติโก มาดริดเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาเป็นแฟนบอลของทีมมาตั้งแต่ยังเด็กด้วย ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นกัปตันทีมของแอตเลติโก มาดริดอย่างรวดเร็วด้วยวัยเพียง 19 ปีเท่านั้น ซึ่งเขาเป็นกองหน้าคนสำคัญของทีมในช่วงที่ทีมยังไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรในตอนนั้น โดยยังเป็นเพียงกลางตารางเท่านั้นในช่วงที่ตอร์เรสค้าแข้งอยู่กับทีมในยุคแรกในปี 2007 เขาก็ตัดสินใจย้ายออกไปหาความท้าทายในต่างแดน ซึ่งตอนนั้นตอร์เรสตกเป็นข่าวกับหลายทีม ซึ่งรวมถึงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยักษืใหญ่ของพรีเมียร์ลีกด้วย แต่สุดท้ายเขาได้ย้ายไปเล่นให้กับลิเวอร์พูล ทีมดังอีกทีมในอังกฤษด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ และพวกเขาก็ได้ตัว หลุยส์ การเซีย ตัวรุกชาวสเปนกลับมาเป็นการแลกเปลี่ยนด้วย ซึ่งตอร์เรสแทบไม่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวเลยในศึกพรีเมียร์ลีกเพราะเพียงปีแรกเท่านั้นก็ทำได้ถึง 24 ประตูในลีก และยังเป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2007-2008 ของลิเวอร์พูล และของพรีเมียร์ลีกอีกด้วย ซึ่งเขาเป็นนักเตะดาวเด่นของลิเวอร์พูลตั้งแต่นั้นมาซึ่งในปี 2008 ตอร์เรสถือว่าทำผลงานได้อย่างสุดยอดมาก จนทำให้เขาก้าวขึ้นไปเป็นอันดับ 3 ของการคว้ารางวัลบัลลง ดอร์ในปีนั้นด้วย เพราะนอกจากจะทำผลงานได้ดีกับลิเวอร์พูลแล้ว เขายังช่วยให้ทีมชาติสเปนคว้าแชมป์ยูโร 2008 มาครองได้อีกด้วยแต่แล้วเฟร์นานโด ตอร์เรส กับลิเวอร์พูลก็ต้องจบลงในช่วงเดือนมกราคม 2011 เมื่อทีม“หงส์แดง” ตัดสินใจขายเขาไปให้กับ เชลซี ทีมคู่ปรับร่วมลีกด้วยค่าตัวถึง 50 ล้านปอนด์ ซึ่งทำให้ลิเวอร์พูลไม่ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว แต่การย้ายไปอยู่ในถิ่นสแตนฟอร์ด บริดจ์นั้นเหมือนกับเป็นการย้ายที่ผิดพลาดของเขาเลยทีเดียว เพราหลังจากที่มาอยู่กับทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” ตอร์เรสฟอร์มการเล่นตกลงอย่างรวดเร็ว ซึ่ง 14 นัดในครึ่งฤดูกาลแรกของเขากับเชลซีในพรีเมียร์ลีก ตอร์เรสทำไปได้เพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้นซึ่งตอนที่เขาสวมเสื้อเชลซีจะเห็นได้ว่าความมั่นใจของเขานั้นหายไปอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ลูกหลุดเดี่ยวก็ยังไม่สามารถทำประตูได้ ซึ่งตลอดเวลาที่เขาเล่นให้กับเชลซีนั้นผลงานของตอร์เรสย่ำแย่เป็นอย่างมาก จนทำให้เขาต้องถูกปล่อยให้กับ เอซี มิลาน และ แอตเลติโก มาดริด ยืมตัวไปใช้งาน จนสุดท้ายเขาได้ย้ายกลับมาเล่นให้กับทีม “ตราหมี” แบบถาวรในปี 2016 ซึ่งเป็นยุคที่ทีมมี ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ เป็นกุนซือ และแอตเลติโก มาดริดถือว่าเป็นทีมชั้นนำของลา ลีก้าสเปนแล้วในตอนนั้นซึ่งในตอนที่เปิดตัวเฟร์นานโด ตอร์เรสกลับมาค้าแข้งกับทีมอีกครั้ง มีแฟนบอลเข้าไปเฉลิมฉลองในสนามบิเซ็นเต้ กัลป์เดร่อนกันเต็มความจุ 45,000 คนเลยทีเดียว ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ แม้ว่าตอร์เรสจะต้องรับบทบาทเป็นตัวสำรองเสียส่วนใหญ่ แต่เขาก็มาประสบความสำเร็จในการเป็นแชมป์ยูโรป้า ลีกกับทีมรักทีมนี้ ก่อนที่เขาจะย้ายมาค้าแข้งในเจ ลีกของประเทศญี่ปุ่นกับทีมซากัน โทสุ ซึ่งถือว่าเป็นทีมเล็กในเจ ลีก และผลงานของตอร์เรสก็ไม่ได้ดีนัก และสุดท้ายเขาก็ประกาศแขวนสตั๊ดไปในปี 2019 ที่ผ่านมา ซึ่งเขาเป็นนักเตะ 1 ในไม่กี่คนของทีมชาติสเปนที่ประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ทั้ง 3 รายการใหญ่ ทั้งยูโร 2008 และ 2012 และรวมไปถึงแชมป์ฟุตบอลโลก 2010 อีกด้วย Carles Puyol ยอดปราการหลัง ทีมชาติสเปน ของ ทีม บาร์เซโลน่า ถือว่าเป็นตำนานนักเตะคนหนึ่งของทีม “เจ้าบุญทุ่ม” และเป็นหนึ่งในนักเตะที่เล่นให้กับสโมสรเดียวตลอดอาชีพการค้าแข้งด้วย ซึ่งมีไม่มากนัก และแถมยังเป็นยอดทีมอย่าง บาร์เซโลน่า ด้วย ซึ่งแสดงว่านักเตะคนนั้นต้องเล่นอยู่ในระดับสูง และฟอร์มที่ยอดเยี่ยมตลอดการเล่นของเขาด้วย ถึงจะได้อยู่กับทีมใหญ่แบบนี้ไปจนเลิกเล่นซึ่งปูโยลก็ถือว่าเป็นกองหลังที่แข็งแกร่ง และยอดเยี่ยมตลอดอาชีพการเล่นของเขา ซึ่งเขาถือว่าเป็นกองหลังลำดับต้นๆ ในยุคของเขาเลยก็ว่าได้ ซึ่งถือว่าเป็นนักเตะที่สารพัดประโยชน์ในแนวรับมากด้วย เพราะนอกจากเขาจะเล่นเป็นปราการหลังตัวกลางเป็นหลักแล้ว ปูโยลยังสามารถไปเล่นเป็นแบ็คขวาได้อีกด้วย และในช่วงยบั้นปลายการค้าแข้งเขาถูกโยกมาเล่นเป็นแบ็คซ้ายในบางโอกาสก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นแบ็คที่เติมเกมรุกได้โดดเด่นเหมือนกับแบ็คของบาร์เซโลน่าคนอื่นๆ แต่เรื่องการเล่นเกมรับ และความทุ่มเทของเขานั้นไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอนปูโยลเป็นนักเตที่เกิดที่แคว้นกาตาลุนญ่า แคว้นใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศสเปนเมื่อวันที่ 13 เมษายน 1978 และเขาเข้ามาอยู่ในระบบเยาวชนของ บาร์เซโลน่าในตอนที่เขาอายุได้ 16 ปี โดยเขาเข้ามาอยู่ในศูนย์ฝึกฟุตบอลลา มาเซียในตอนนั้น ซึ่งเขาถูกจับไปเล่นเป็นกองกลางตัวรับด้วยในตอนแรก ก่อนที่ต่อมาเขาจะโดนโยกไปเล่นเป็นแบ็คขวาอีกซึ่งในช่วงเป็นดาวรุ่งนั้นเขาไม่ได้ค่อยฉายแววเท่าไหร่นัก ซึ่งเริ่มแรกเขาต้องเริ่มเล่นให้กับ บาร์เซโลน่า ในชุดซีตอนวัย 18 ปี ก่อนที่จะไต่เต้ามาเล่นในชุดเบในปีต่อมา จนในปี 1999 เขาก็ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของบาร์เซโลน่าจนได้ในวัย 21 ปี ซึ่งอันที่จริงเขาเกือบที่จะได้ย้ายไปร่วมทีมมาลาก้าแล้วด้วยในปี 1998 เพราะตอนนั้น บาร์เซโลน่า ตอบรับข้อเสนอแล้วด้วยซ้ำ แต่ปูโยลปฏิเสธที่จะย้ายไปร่วมทีม และขอต่อสู้แย่งตำแหน่งตัวจริงในถิ่นคัมป์ นูต่อ หลังจากที่เห็นชาบี เอร์นานเดส เพื่อนซี้ของเขาได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงให้กับบาร์เซโลน่าแล้วในตอนนั้นซึ่งทำให้ปูโยลเลือกที่จะสู้ต่อไป จนในปี 1999 เขาก็ถูกหลุยส์ ฟาน กัล ยอดกุนซือชาวดัตช์ที่คุมทีมอยู่ในตอนนั้นดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ทันที ซึ่งกุนซือรายนี้นั้นขึ้นชื่อเรื่องการดันนักเตะดาวรุ่งมาใช้งานอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยที่เขาคุมทีมอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัมก่อนหน้านั้น และกุนซือรายนี้ก็เป็นคนจับเขามาเล่นในตำแหน่งปราการหลังตัวกลางนั่นเองหลังจากได้รับโอกาสในการเล่นทีมชุดใหญ่ หลังจากนั้นมา การ์เลส ปูโยลก็กลายเป็นปราการหลังตัวหลักของบาร์เซโลน่ามาโดยตลอด และก็เปลี่ยนคู่หูในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟมาตลอดหลายปี ไม่ว่าจะเป็นแฟรงค์ เดอ บัวร์ กองหลังชาวดัตช์ แพทริค แอนเดอร์สัน กองหลังทีมชาติสวีเดน และราฟาเอล มาร์เกซ ปราการหลังกัปตันทีมชาติเม็กซิโก ซึ่งไม่ว่าใครจะเข้ามาก็ไม่สามารถแย่งตำแหน่งตัวจริงไปจากปูโยลได้เลย จนกระทั่งในปี 2008 ที่บาร์เซโลน่าไปคว้าตัวเคราร์ด ปิเก้ อดีตเด็กปั้นของสโมสรจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกลับมาร่วมทีมอีกครั้ง ซึ่งทำให้เขากลายมาเป็นคู่หูของปูโยลต่อทันที ซึ่งทั้งคู่เล่นเข้ากันได้อย่างแข็งแกร่ง จนทำให้บาร์เซโลน่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในยุคของเป็ป กวาดิโอล่า ที่สามารถคว้าแชมป์ลา ลีก้าสเปนได้ถึง 3 ปีติดต่อกัน และยังรวมไปถึงแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีก 2 สมัยด้วยซึ่งถือว่าเป็นยุคทองของวงการฟุตบอลสเปนอย่างแท้จริง เพราะนอกจาก บาร์เซโลน่า จะประสบความสำเร็จแล้ว ทีมชาติสเปน ในตอนนั้นก็กลายเป็นยุคทองของพวกเขาด้วย  เพราะในปี 2008 ทีมชาติสเปนก็ก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ยูโร 2008 และในอีก 2 ปีต่อมา ทีม “กระทิงดุ” ก็คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติมาครองได้สำเร็จ ซึ่ง ปูโยล ก็เป็นกำลังสำคัญของสเปนใน 2 ทัวร์นาเม้นต์นั้นด้วยแต่ว่าตอนที่ป้องกันแชมป์ยูโร 2012ได้ เขาไม่ได้มีชื่อติดทีมสเปนครั้งนั้น เนื่องจากเจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บอยู่ในตอนนั้นพอดี และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ประกาศเลิกเล่นให้กับทีมชาติสเปน หลังจากที่ลงสนามให้กับทีมชาติครบ 100 นัดพอดี และประกาศเลิกเล่นในปี 2014 เนื่องจากสภาพร่างกายของเขาไม่เอื้ออำนวยแล้วหลังจากที่เลิกเล่นไปแล้ว เขาก็ยังมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ บาร์เซโลน่า อยู่ และเขาก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยของ อันโดนี่ ซูบิซาร์เร็ตต้า อดีตนายประตูของทีมที่รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการกีฬาของสโมสรอยู่ในเวลานั้น แต่เขาก็ลาออกจากตำแหน่งในช่วงเดือนมกราคม 2015 หลังจากที่ซูบิซาร์เร็ตต้าโดนไล่ออกไปซึ่งอันที่จริงเขามีโอกาสที่จะก้าวขึ้นมาทำหน้าที่แทนด้วยซ้ำ และในเดือนกันยายน 2019 ปูโยลก็ถูกทาบทามให้เป็นผู้อำนวยการกีฬาของสโมสรบาร์เซโลน่า ซึ่งจะต้องดูแลทีมหลายชนิดกีฬาเลยทีเดียว แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวไปอีก Xabier Alonso Olano หรือที่แฟนฟุตบอลรู้จักกันดีในนาม Xabi Alonso กองกลางรูปหล่อ ทีมชาติสเปน ที่เคยค้าแข้งกับทีมยักษ์ใหญ่มากมายทั่วยุโรป โดยเขาเป็นชายที่เกิดในแคว้นบาสก์ของประเทศสเปน ซึ่งถือว่าเป็นแคว้นใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์มากมายของสเปน ซึ่งเขาเริ่มต้นเข้าสู่วงการฟุตบอลกับการเป็นเด็กเยาวชนของศูนย์ฝึกฟุตบอลเยาวชนอย่างอันติกูโอโก้ ซึ่งนักฟุตบอลชื่อดังที่เกิดที่แคว้นนี้ก็ล้วนแล้วแต่ต้องเคยผ่านศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งนี้มาทั้งนั้นซึ่งที่นี่ก็เปรียบเสมือนศูนย์ฝึกฟุตบอลลา มาเซียในแคว้นกาตาลุนญ่าเลยก็ว่าได้ โดย ชาบี อลอนโซ่ เริ่มต้นเข้าเล่นกับเยาวชนแห่งนี้ตั้งแต่อายุได้แค่ 9 ขวบเท่านั้น โดยเขาต้องฝึกฟุตบอลยันปี 1999 ซึ่งเขามีอายุ 18 ปีพอดี ทำให้เป็นนักเตะอาชีพได้ในตอนนั้น ซึ่งตอนนั้นก็มีเรอัล โซเซียดาด ทีมในแคว้นบาสก์คว้าตัวไปร่วมทีมซึ่งอันที่จริงทีมในแคว้นบาสก์นั้นมีทีมใหญ่อยู่ 2 ทีมคือแอธเลติก บิลเบา กับเรอัล โซเซียดาดนั่นเอง ซึ่งในตอนแรกอลอนโซ่ยังไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในทันที ทำให้เขาต้องไปเล่นในทีมชุดเบก่อน 1 ฤดูกาล ก่อนที่จะได้ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของเรอัล โซเซียดาด และได้เล่นในศึกลา ลีก้าสเปนเป็นครั้งแรกในปี 2000ในช่วงก่อนเริ่มต้นฤดูกาล 2000-2001 นั้น เรอัล โซเซียดาดมีฮาเวียร์ เคลเมนเต้เป็นกุนซือ ซึ่งเขายังไม่เห็นแววของชาบี อลอนโซ่มากนัก ทำให้เขาถูกส่งไปให้กับเออิบาร์ ทีมที่ซึ่งตอนนั้นอยู่ในระดับเซกุนด้ายืมตัวเพื่อไปหาประสบการณ์ และโอกาสในการลงสนามเพื่อพัฒนาฝีเท้าอย่างต่อเนื่อง แต่ฤดูกาลนั้นโซเซียดาดทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ จนทำให้ทีมต้องไปอยู่ในกลุ่มหนีตกชั้นในฤดูกาลนั้น และสุดท้ายเคลเมนเต้ก็โดนปลดจากตำแหน่งไป และให้จอห์น โตแช็ค กุนซือชาวเวลส์เข้ามาคุมทีมแทนซึ่งเขาเหมือนเป็นคนที่เปลี่ยนอนาคตของชาบี อลอนโซ่เลยทีเดียว เพราะเขาดึงกองกลางรายนี้กลับมาอยู่กับทีมอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล นอกจากนั้นเขายังมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้กับชาบี อลอนโซ่ ทั้งที่ตอนนั้นเขาอยู่ในวัยเพียง 20 ปีเท่านั้นด้วย ซึ่งสุดท้ายกุนซือรายนี้ก็พาทีมรอดพ้นการตกชั้นได้สำเร็จหลังจากนั้นมาอลอนโซ่ก็กลายเป็เสาหลักของเรอัล โซเซียดามาอย่างต่อเนื่อง และผลงานของเขาก็โดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ จนก้าวขึ้นไปติดทีมชาติสเปนในปี 2003 ซึ่งเป็นช่วงที่เขากำลังโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้ปีต่อมา ลิเวอร์พูล ทีมดังของประเทศอังกฤษมาทุ่มเงิน 10.7 ล้านปอนด์คว้าตัวไปร่วมทีมในเดือนสิงหาคมปี 2004 ซึ่งราฟา เบนิเตซ กุนซือชาวสเปนของทีม “หงส์แดง” ต้องการดึงชาบี อลอนโซ่ไปเป็นตัวหลักของทีมลิเวอร์พูลที่เขากำลังจะสร้างยุคใหม่ในตอนนั้นชาบี อลอนโซ่มาเริ่มรู้จักความสำเร็จในการคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในถิ่นแอนฟิลด์กับลิเวอร์พูล ตั้งแต่ที่เขาย้ายมาร่วมทีมเพียงปีเดียวเท่านั้น โดยในฤดูกาล 2004-2005 ลิเวอร์พูลก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะเอซี มิลานในการดวลจุดโทษปีนั้นได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นลิเวอร์พูลก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก แม้ว่าเขาจะทำผลงานได้อย่างโดดเด่นก็ตามก่อนที่ในปี 2009 เขาจะย้ายไปร่วมทีม เรอัล มาดริด ยอดทีมของประเทศสเปน ที่ทุ่มเงิน 30 ล้านปอนด์ดึงตัวไปเล่นในลา ลีก้าสเปนอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ชาบี อลอนโซ่ประสบความสำเร็จในการเป็นแชมป์ลา ลีก้าในช่วงที่มีโชเซ่ มูรินโญ่คุมทีม นอกจากนั้นเขายังมาได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีก 1 สมัยในปี 2014 ด้วยก่อนที่เขาจะอำลาทีมไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค ที่มีเป็ป กวาดิโอล่าคุมทีมอยู่พอดี ซึ่งเขาก็มาคว้าแชมป์ได้อีก 3 สมัยติดต่อกัน ก่อนที่จะเลิกเล่นไปในปี 2017 ซึ่งเจ้าตัวอยู่ในวัยเพียง 35 ปีเท่านั้น ซึ่งเขายังเล่นได้อีก 1-2 ปีเป็นอย่างน้อยด้วยซ้ำ เพราะวิธีการเล่นของเขาที่ใช้มันสมองเป็นหลักนั้น ทำให้เขาไม่ต้องใช้ร่างกายเยอะเท่าไหร่นัก แต่เขาก็เลือกที่จะเลิกเล่นในตอนที่อยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพมากกว่าเพราะนอกจากแชมป์ต่างๆ แล้ว เขายังคว้าแชมป์กับ ทีมชาติสเปน ทั้ง 3 รายการใหญ่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2010 และแชมป์ยูโรในปี 2008 และ 2012 แม้ว่าในแต่ละทัวร์นาเม้นต์เขาจะรับบทบาทเป็นตัวสำรองเสียเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม แต่เขาก็เป็นตัวหมุนเวียนที่สำคัญสำหรับแดนกลางทีมชาติสเปนในตอนนั้นทีเดียวเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา เขาผ่านการอบรมการเป็นโค๊ชจากสมาพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือว่าทางยูฟ่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่วมกับราอูล กอนซาเลซ บิคตอร์ บัลเดส และโจน กัปเดบิล่า ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นงานโค๊ชงานแรกคือการไปเป็นโค๊ชให้กับเรอัล มาดริดชุดยู 14 ก่อนที่จะมารับงานเป็นผู้จัดการทีมเรอัล โซเซียดาดชุดเบเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นการเป็นกุนซือของชาบี อลอนโซ่เท่านั้น “เอล กวาเฆ่” เป็นฉายาของ David Villa เป็นดาวเตะ ทีมชาติสเปน ที่เกิดเมื่อปี 1981 ซึ่งเกิดทางตอนเหนือของประเทศสเปน ซึ่งตอนเป็นเด็กเยาวชนนั้น บีญ่ายังไม่ค่อยมีแววเท่าไหร่นัก ทำให้ไม่สามารถหาทีมเยาวชนที่ดังๆ อยู่ได้ โดยเขาต้องอยู่กับทีมเยาวชนลันเกรโอ ซึ่งก็เป็นทีมในเมืองที่เขาเกิดนั่นเองจนกระทั่งในวัย 18 ปี เขาได้ย้ายไปอยู่กับทีมสปอร์ติ้ง กิฆอน ซึ่งก็เป็นทีมที่อยู่ในระดับที่ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ตอนแรกเขาก็ต้องเล่นให้กับทีมเยาวชน และทีมชุดเบของสโมสรเป็นหลัก จนกระทั่งในวัย 19 ปี เขาก็ได้โอกาสก้าวขึ้นไปติดทีมชุดใหญ่ในปี 2000 หลังจากที่ทำผลงานได้อย่างยอดยี่ยมในทีมสำรอง ซึ่งตอนนั้นกิฆอนก็ยังเป็นทีมที่อยู่ในระดับเซกุนด้าเท่านั้น แต่บีญ่าทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม 2 ฤดูกาลติดต่อกัน ที่ยิงเกิน 20 ประตูทั้ง 2 ปี ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นกองหน้าดาวรุ่งที่น่าจับตามองในตอนนั้น จนกระทั่งปี 2003 ก็มีเรอัล ซาราโกซ่า ทีมที่ตอนนั้นอยู่ในลา ลีก้าสเปนคว้าตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัวราว 3 ล้านยูโรการย้ายมาเล่นในลา ลีก้าสเปนครั้งแรกของดาบิด บีญ่าในวัย 22 ปี ทำให้เขาแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวในวงการฟุตบอลสเปน เมื่อเขาทำประตูช่วยทีมได้อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นดาวซัลโวของสโมสร 2 ปีซ้อน และยังพาทีมคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์มาครองได้สำเร็จในฤดูกาล 2003-2004 ด้วย แต่ด้วยในปี 2005 เป็นปีที่เรอัล ซาราโกซ่าประสบปัญหาทางด้านการเงิน และจำเป็นต้องขายนักเตะที่ทำเงินได้ออกจากทีมไป และสุดท้ายดาบิด บีญ่าก็เป็นตัวเลือกที่ได้เงินดีที่สุดในตอนนั้น โดยพวกเขาขายให้กับ บาเลนเซีย ทีมชั้นนำของประเทศในราคา 12 ล้านยูโรซึ่งบาเลนเซียภายใต้การคุมทีมของ กิเก้ ซานเชส ฟลอเรสกำลังต้องการนักเตะเลือดใหม่เข้ามาร่วมทีมในตอนนั้นพอดี ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่บีญ่าก้าวขึ้นไปติดทีมชาติสเปนเป็นครั้งแรกพอดี หลังจากที่ฟอร์มดีอย่างต่อเนื่องมาหลายฤดูกาล และแค่เพียงฤดูกาลแรกในถิ่นเมสตาญ่า สเตเดี้ยมเท่านั้น บีญ่าก็ระเบิดฟอร์มทันที เมื่อเขาทำได้ถึง 28 ประตูในการลงสนามทุกรายการ หลังจากนั้นเขาก็ยังเล่นได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่อง แต่ตอนนั้นเป็นช่วงที่บาเลนเซียไม่ได้ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด โดยเขามาได้แชมป์โกปา เดล เรย์อีกครั้งกับทีมนี้ ซึ่งก็เป็นแชมป์รายการเดียวของเขากับ บาเลนเซีย ตลอด 5 ฤดูกาล ซึ่งเขาเป็นดาวซัลโวของทีมในทุกฤดูกาลที่เล่นให้กับบาเลนเซีย ก่อนที่ในปี 2010 จะมีบาร์เซโลน่า ยอดทีมของยุโรปในตอนนั้นทุ่มเงิน 40 ล้านยูโรคว้าตัวเขาไปร่วมทีมในยุคที่มีเป็ป กวาดิโอล่าเป็นกุนซือซึ่งบิด บีญ่ามาประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันกับ บาร์เซโลน่า เมื่อเขาคว้าแชมป์ลา ลีก้าสเปนได้ถึง 2 สมัย และนอกจากนั้นยังช่วยทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกมาครองได้อีกด้วยในปี 2011 ที่เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่ชีวิตที่ดีของบีญ่าเป็นอย่างยิ่งในตอนนั้น แม้ว่าผลงานส่วนตัวของเขาจะดร็อปลงจากเดิมเล็กน้อยก็ตาม แต่เขากลายเป็นทั้งแชมป์ยูโร และแชมป์โลกในช่วงนั้นกับทีมชาติสเปนซึ่งเขาเล่นให้กับทีม “เจ้าบุญทุ่ม” เพียงแค่ 3 ฤดูกาลเท่านั้น เพราะเขาเริ่มมีอาการบาดเจ็บอย่างหนักด้วยในตอนนั้น ซึ่งทำให้เขาต้องชวดช่วยทีมชาติสเปนทำศึกยูโร 2012 ด้วย ซึ่งสุดท้ายสเปนเป็นแชมป์ได้สำเร็จอีกครั้ง และเนื่องจากอายุที่มากขึ้น และไม่ได้อยู่ในช่วงที่พีคที่สุดในอาชีพการค้าแข้งแล้ว ทำให้เขาถูกขายไปให้กับ แอตเลติโก มาดริด ทีมคู่ปรับร่วมลีกด้วยค่าตัวเพียง 5.1 ล้านยูโรเท่านั้น เพราะสัญญาที่ใกล้จะหมดลง และฟอร์มของเขาในช่วงก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ดีนัก แต่กลับกลายเป็นการย้ายทีมที่เข้าทางบีญ่าซะอย่างงั้น เมื่อเขามาเป็นแชมป์ ลาลีก้า สเปนอีก 1 สมัยในยุคที่มีดิเอโก้ ซิเมโอเน่เป็นกุนซือของทีม “ตราหมี” โดย “เอล กวาเฆ่” จับคู่กับดิเอโก้ คอสต้าในแดนหน้า และทำให้ทีมเป็นแชมป์เหนือบาร์เซโลน่าในฤดูกาลนั้น ซึ่งเขาก็เล่นกับทีม “ตราหมี” เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น และปีต่อมาเขาก็ถูกปล่อยให้กับทีมเมลเบิร์น ซิตี้ในออสเตรเลียยืมตัว และปีต่อมาก็ย้ายมาเล่นให้กับนิวยอร์ค ซิตี้ ทีมในเมเจอร์ ลีกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขากลับมามีร่างกายที่ยอดเยี่ยมอีกครั้ง และกลับมายิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะอายุเยอะแล้วก็ตามจนกระทั่งปี 2019 ที่เขาอยู่ในวัย 38 ปี เขาก็ไปจบอาชีพการค้าแข้งกับวิตเซิ่ล โกเบ ที่มีอันเดรส อิเนสต้าเป็นเพื่อนร่วมทีม และเขาก็ทิ้งทวนด้วยการพาทีมเป็นแชมป์เอ็มเพอร์เรอร์ คัพ บอลถ้วยของญี่ปุ่นในปีสุดท้ายที่เขาค้าแข้ง และแขวนสตั๊ดไปในที่สุด เมื่อปี 2019 และก็ก้าวไปเป็นเจ้าของทีมควีนส์โบโร่ เอฟซี ที่เป็นทีมในระดับแชมเปี้ยนชิปที่อเมริกา ซึ่งพึ่งจะก่อตั้งทีมเท่านั้น โดยจะเริ่มต้นแข่งขันในปี 2021 สำหรับทีมของเขา Andres Iniesta เป็นนักเตะระดับเทพของ บาร์เซโลน่า และของ ทีมชาติสเปน ในตอนที่เขาค้าแข้งอยู่ ซึ่งเขาเกิดที่เมืองอัลบาเซต้าในสเปนเมื่อปี 1984 ซึ่งเขาก็เริ่มต้นเข้าสู่วงการฟุตบอลตั้งแต่ 10 ขวบ โดยการเป็นนักเตะเยาวชนของ อัลบาเซเต้ ทีมในเมืองเกิดของเขา ซึ่งส่วนใหญ่ทีมนี้ก็มักจะอยู่ในระดับลีกรองของประเทศเป็นหลัก และนานทีปีหนกว่าที่จะได้ก้าวขึ้นสู่ลีกสูงสุดซึ่งอิเนสต้าฝึกอยู่กับทีมนี้แค่เพียง 2 ปีเท่านั้น เพราะด้วยแววดีตั้งแต่เด็ก ทำให้ บาร์เซโลน่า ยอดทีมของประเทศเห็นแวว และดึงตัวไปเข้าศูนย์ฝึกฟุตบอลลา มาเซีย ศูนย์ฝึกฟุตบอลชื่อดังของโลกเลยก็ว่าได้ในปี 1996 ซึ่งศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งนี้สร้างยอดดาวเตะระดับโลกมาแล้วหลายราย ซึ่งอิเนสต้าก็เหมือนกับดาวรุ่งของบาร์เซโลน่าทั่วไป ซึ่งไม่ว่าจะเทพขนาดไหนก็ต้องไต่เต้าจากการเล่นให้กับทีมชุดเบไปก่อนซึ่งอิเนสต้าได้เล่นในทีมชุดเบของบาร์เซโลน่าในวัย 17 ปี ซึ่งเขาทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ทำให้เริ่มได้รับโอกาสให้เล่นในทีมชุดใหญ่ในช่วงที่ บาร์เซโลน่า มีหลุยส์ ฟาน กัล ยอดกุนซือชาวดัตช์คุมทีม รวมถึงในช่วงของ ราโดเมีย อันติ ชที่เข้ามารับงานต่อด้วยแต่อันเดรส อิเนสต้ามาแจ้งเกิด และได้โอกาสในทีมชุดใหญ่ของบาร์เซโลน่าจริงๆ คือในยุคที่ทีม “เจ้าบุญทุ่ม” มีแฟรงค์ ไรจ์การ์ด กุนซือชาวดัตช์เป็นกุนซือในปี 2003 ซึ่งตอนนั้นอิเนสต้าอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น โดยในตอนแรกเขาได้โอกาสลงสนามในฐานะตัวสำรองอยู่ตลอด ซึ่งแม้ว่าจะเป็นนักเตะร่างเล็ก แต่ด้วความคล่องแคล่วของเขา ทำให้เขาสามารถปั่นป่วนแนวรับของคู่แข่งได้ดี โดยในช่วงที่เป็นดาวรุ่งนั้นเขาสามารถเล่นได้ทั้งตำแหน่งกองกลางตัวรุก และยังรวมไปถึงกองหน้าทางฝั่งซ้ายอีกด้วยเขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมได้อย่างรวดเร็ว โดยตอนนั้นเขาเล่นร่วมกับชาบี เอร์นานเดส กองกลางรุ่นพี่ที่โตมาในศูนย์ฝึกลา มาเซียด้วยกัน และเล่นกันได้อย่างไหลลื่นมากในแดนกลางของบาร์เซโลน่า โดยมีทิอาโก้ ม็อตต้า กองกลางชาวบราซิเลี่ยนเล่นเป็นตัวตัดเกม ซึ่งทำให้อิเนสต้าเล่นเกมรุกได้อย่างอิสระขึ้น แต่ดาวเด่นของทีมในตอนนั้นยังคงเป็น โรนัลดินโญ่ ยอดดาวเตะทีมชาติบราซิลอยู่ ซึ่งอิเนสต้าแม้ว่าจะได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดกองกลางคนหนึ่งของยุค แต่เขาไม่ได้เป็นนักเตะที่มีสถิติการทำประตู และการแอสซิสต์ที่มากมายนัก แต่เขาเป็นตัวขับเคลื่อนเกม และสร้างเกมก่อนที่จะเป็นจังหวะเข้าทำเสียมากกว่า ทำให้สถิติต่างๆ ของเขาไม่ได้สวยงามเหมือนกับนักเตะคนอื่นๆ แต่เขาถือว่าเป็นยอดกองกลางแห่งยุคคนหนึ่งเลยทีเดียวหลังจากที่อันเดรส อิเนสต้าก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของบาร์เซโลน่าได้แล้วนั้น เขาก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่สิ่งที่ทำให้เขาเป็นนักเตะระดับโลกจริงๆ คือในปี 2008 ที่เป็ป กวาดิโอล่า เข้ามาคุมทีมบาร์เซโลน่าชุดใหญ่ต่างหาก ที่ทำให้เขาก้าวขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งในปีนั้นบาร์เซโลน่ามีการเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ เพราะพวกเขาตัดสินใจขายโรนัลดินโญ่ออกจากทีม และกลายเป็นยุคที่มีลิโอเนล เมสซี่เป็นดาวเด่นแทนนอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนแดนกลางของทีมด้วย โดยเป็ป กวาดิโอล่าดันเซร์คิโอ บุสเก็ตส์ กองกลางตัวตัดเกมดาวรุ่งก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ และกลายเป็นตัวจริงของทีมทันที ซึ่งทำให้บาร์เซโลน่าในตอนนั้นมี 3 ประสานในแดนกลางเป็น 3 นักเตะที่เติมโตมาจากศูนย์ฝึกฟุตบอลลา มาเซียทั้ง 3 คน ไม่ว่าจะเป็นบุสเก็ตส์ ชาบี เอร์นานเดส และอันเดรส อิเนสต้า ซึ่งพวกเขาเล่นกันได้อย่างกลมกลืน และไหล่ลื่นมาก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บาร์เซโลน่ากลายเป็นยอดทีมในเวลานั้นด้วยซึ่งทีมก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในช่วง 4 ปีที่เป็ป กวาดิโอล่าคุมทีม ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ลา ลีก้าสเปน 3 สมัย และยังรวมไปถึงแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีก 2 สมัยด้วย โดยพวกเขาเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมแกร่งจากอังกฤษได้ถึง 2 ครั้งในรอบ 3 ปีไม่ใช่เพียงแค่ประสบความสำเร็จกับบาร์เซโลน่าเท่านั้น เพราะหลังจากปี 2008ก็เป็นยุคทองของ ทีมชาติสเปน ที่พวกเขาก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ระดับเมเจอร์ของวงการฟุตบอลได้ถึง 3 รายการติดต่อกัน เริ่มจากฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในปี 2008 และฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ ซึ่งอิเนสต้าเป็นผู้ทำประตูชัยในนัดชิงชนะเลิศที่เอาชนะทีมชาติฮอลแลนด์ได้สำเร็จด้วย และยังรวมถึงฟุตบอลยูโร 2012 ที่สเปนก็ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ ซึ่งอิเนสต้าเป็นตัวจริงให้กับทีมชาติสเปนทุกทัวร์นาเม้นต์ในตอนนั้น ซึ่งเขาเล่นให้กับบาร์เซโลน่ามาจนถึงปี 2018 ก็ตัดสินใจอำลาทีมไปค้าแข้งในประเทศญี่ปุ่นกับ ทีมวิสเซล โกเบ ทีมในศึก เจลีก ซึ่งแม้ว่าเขาจะอายุมากขึ้น แต่ก็ยังทำผลงานได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ และเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมในลีกระดับสูงของเอเชีย ซึ่งเขายังเอาตัวรอดได้อย่างสบาย ทีมชาติสเปน ถือว่าเป็นชาติที่ในยุคก่อนปี 2000 พวกเขาไม่ได้เป็นทีมยักษ์ใหญ่ในวงการฟุตบอลแต่อย่างใด แม้ว่าสเปนจะเคยได้แชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปมา 1 สมัย แต่มันก็เกิดขึ้นในปี 1964 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพเอง และตอนนั้นก็ไม่ได้มีการแข่งขันที่ดุเดือดเหมือนในช่วงที่ผ่านมาซึ่งสเปนถือว่าเป็นทีมที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในรอบคัดเลือกโดยตลอด ทำให้พวกเขามักจะเป็นทีมที่ได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายของทัวร์นาเม้นต์รายการใหญ่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นศึกฟุตบอลโลกหรือฟุตบอลยูโรก็ตาม แต่พอเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายแล้วพวกเขามักจะประสบความล้มเหลวและทำผลงานได้ไม่ตรงที่พวกเขาตั้งเป้าหมายไว้ ทำให้ถูกตราหน้าว่าเป็นทีมหมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อมนั่นเอง ศึกชิงแชมป์ยุโรปปี 2008 ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จของทีมชาติสเปน ซึ่งเป็นช่วงที่ทีม “กระทิงดุ” มีหลุยส์ อาราโกเนสเป็นกุนซือ ซึ่งพวกเขาสามารถเข้าไปเป็นแชมป์ยูโร 2008 ที่ประเทศออสเตรียกับสวิตเซอร์แลนด์เป็นเจ้าภาพร่วมกันได้สำเร็จในปีนั้น ซึ่งเป็นช่วงที่วงการฟุตบอลกำลังมาแรงสุดขีดในตอนนั้น เพราะว่ามีนักเตะของพวกเขาที่กลายเป็นนักเตะระดับโลกหลายคน และพอมารวมกันเป็นทีมชาติสเปนก็ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นแนวรับ หรือแนวรุกก็ตามซึ่งปีนั้นพวกเขาคว้าแชมป์ได้ด้วยการเอาชนะทีมชาติเยอรมันได้ 1-0 จากลูกหลุดเดี่ยวเข้าไปยิงของเฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าของลิเวอร์พูลในเวลานั้นต่อมาในศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ ถือเป็นครั้งแรกที่ฟุตบอลโลกจัดขึ้นที่ทวีปแอฟริกาและทัวร์นาเม้นต์นั้นทีมชาติสเปนได้มีการเปลี่ยนแปลงกุนซือจากหลุยส์ อาราโกเนสที่ออกจากทีมไป มาเป็นบิเซ็นเต้ เดล บอสเก้ อดีตกุนซือของทีมเรอัล มาดริดมาคุมทีมแทน แม้ว่าทีมชาติสเปนจะแพ้ให้กับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ในนัดเปิดสนามก็ตาม แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับมาคืนฟอร์มได้ทันท่วงทีและผ่านเข้าไปเล่นในรอบน็อคเอ้าต์ โดยพวกเขาเอาชนะทีมชาติโปรตุเกส ปารากวัย และเยอรมันจนทำให้พวกเขาผ่านเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศกับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ หรือฮอลแลนด์นั่นเอง โดยเกมเต็มไปด้วยความอืดอัดในรอบชิงชนะเลิศ และเล่นกันอย่างดุเดือด และสุดท้ายก็ต้องไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษจนได้ ซึ่งสเปนต้องมารอถึงนาทีที่ 116 เลยทีเดียว กว่าที่จะมาได้ประตูชัยจาก อันเดรส อิเนสต้า กองกลางตัวเก่งของทีมในยุคนั้น ทำให้ทีมชาติสเปนคว้าแชมป์โลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการเข้าชิงชนะเลิศครั้งแรกของพวกเขาด้วยต่อมาทีมชาติสเปนยังมาป้องกันแชมป์ฟุตบอลยูโรได้อีกครั้งในปี 2012 ที่โปแลนด์และยูเครนเป็นเจ้าภาพร่วมกัน โดยทีมชาติสเปนไม่มี การ์เลส ปูโยล กองหลังกัปตันทีมจากบาร์เซโลน่าที่มีอาการบาดเจ็บ แม้ว่าแนวรับของพวกเขาจะไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิมแต่ทีมชาติสเปนก็ยังทำผลงานได้อย่างสุดยอดเพราะพวกเขาไม่แพ้ให้กับทีมใดเลย โดยในรอบน็อคเอ้าต์นั้น พวกเขาเอาชนะทีมชาติฝรั่งเศสได้ 2-0 จาก 2 ประตูของชาบี อลอนโซ่ กองกลางของทีม และในรอบรองชนะเลิศพวกเขาก็มาเอาชนะ ทีมชาติโปรตุเกส ได้ในการดวลจุดโทษ 4-2 ทำให้ทีม “กระทิงดุ” ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับทีมชาติอิตาลี แต่ในรอบชิงชนะเลิศนั้นถือว่างานกร่อยกว่าที่คิด เมื่อสเปนไล่ถล่มทีมจากแดนมักกะโรนีได้ตั้งแต่ต้นเกม และสุดท้ายก็เอาชนะไปได้ 4-0 ป้องกันแชมป์ยูโรได้สำเร็จ ซึ่งเป็นทีมแรกที่สามารถทำได้ด้วยในการป้องกันแชมป์ขุมกำลังที่ทำให้ทีมชาติสเปนในยุคนั้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ก็คือเหล่านักเตะที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นผู้รักษาประตู อิเกร์ กาซิญาสแผงหลัง เซร์คิโอ รามอส จาก เรอัล มาดริด แดนกลาง ซึ่งเป็นจุดแข็งที่สุดของทีมมี ชาบี เอร์นานเดส อันเดรส อิเนสต้า ที่เป็นเสาหลักในแดนกลาง เชสก์ ฟาเบรกาส แ ด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีราอูล อบิโอล กองกลางทางเลือกที่เป็นตัวสำรองของทีมในชุดนั้น เช่นเดียวกับชาบี อลอนโซ่ ที่เป็นอะไหล่ชั้นดีในแดนกลาง ซึ่งนักเตะเหล่านี้อยู่กับทีมและประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ทั้ง 3 รายการแดนหน้า มี เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าตัวเก่งที่ติดทีมไปทั้ง 3 ทัวร์นาเม้นต์ซึ่งทีมชาติสเปนในตอนนั้นถือว่าเป็นยุคทองที่หาทีมมาต่อกรกับพวกเขายากมาก เพราะเป็นยุคที่ บาร์เซโลน่า กำลังประสบความสำเร็จในฟุตบอลยุโรปตอนนั้นพอดีด้วย และสไตล์การต่อบอลของเขา และความเข้าใจกันในนักเตะโดยเฉพาะแดนกลาง ทำให้พวกเขาครองบอลได้มากกว่าคู่แข่งแทบทุกนัด และไล่บดคู่แข่งอยู่ตลอด ซึ่งคู่แข่งยังไม่สามารถจับทางพวกเขาได้ในตอนนั้นด้วย ทำให้สเปนกลายเป็นยุคทองในช่วง 4 ปีนั้น

TAGS: 

<<< Thank you for your visit >>>

Websites to related :
Tampa Power Squadron - Americas

  If you were born on or after January 1, 1988 the state of Florida requires you to have taken a NASBLA approved boater safety course to operate a boat

213SquadronAssociation

  R.A.F 213 Squadron Association This site is not affiliated to the Royal Air Force, H.M Armed Forces or any other Official RAF Association.  It is

No. 17 (City Of Christchurch) Sq

  About 17 Squadron No 17 (City of Christchurch) Squadron is one of the largest and oldest Air Training Corps (ATC) units in New Zealand, formed in 1942

Brooks and Shorey Resorts | Fort

  Brooks and Shorey Resorts Vacation Rentals specializes in beach front rentals along the beautiful beaches of Okaloosa Island in Fort Walton Beach, FL.

626 RAF Bomber Squadron at RAF W

  RAF Wickenby's short active service 1080 lives were lost from the base. This sacrifice is commemorated by a memorial with the form of Icarus on an

Air Force Space Missile Museum

  NOTICE: The Sands Space History Center is now open! Tues-Fri 0900-1400, Sat 0900-1700 and Sun Noon 1600.We are doing everything to create a safe envir

Connell Funeral Home - Bethlehem

  We are not just a funeral home. We are a gathering place for a community.Learn More About UsWe’re here to guide you through these difficult moments i

Welcome to Belize! Ambergris Cay

  Ambergris Caye is the largest island in Belize, and the main destination for travellers to this western Caribbean nation. San Pedro Town is the only t

Digital Guff - Photography from

  I apologise in advance if I m tardy with commenting on your blogs or returning comments during the week... I will get to you though! By Marie from V

American Journal of Physiology-R

  EDITORIALSGLT2 inhibitors: diabetic kidney disease and beyondAlexander Staruschenko,Vivek Bhalla,Janani Rangaswami2020 Oct 20: F780-F781https://doi.or

ads

Hot Websites